ทำไมถึงต้องพิมพ์การ์ดแต่งงาน?
แน่นอนว่าวันแต่งงานนั้นย่อมเป็นวันที่มีความสำคัญมาก เป็นหนึ่งในวันพิเศษครั้งหนึ่งในชีวิตของหลาย ๆ คน ที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคุณและคนใกล้ชิดตลอดไป เพื่อให้แน่ใจว่างานแต่งงานของคุณจะเป็นที่ประทับใจและน่าจดจำ ต้องเริ่มต้นด้วยการพิมพ์การ์ดเชิญงานแต่งงานที่สวยสมบูรณ์แบบที่สุด เป็นที่ทราบกันดีว่าการ์ดแต่งงานที่ดูดีและมีดีไซน์ที่สร้างสรรค์จะมีแนวโน้มที่จะดึงดูดผู้คนให้สนใจงานแต่งงานของคุณได้ อีกทั้งการ์ดแต่งงานที่ทำออกมาสวยงาม ใส่ใจในรายละเอียด ก็ยังเป็นการแสดงให้ผู้ถูกเชิญทราบได้ว่า เราให้ความสำคัญกับพวกเขามากแค่ไหน ทำให้ผู้ที่ได้รับการ์ดเชิญ มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจมาร่วมงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งการ์ดแต่งงานที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี มีความสวยงาม ก็มีแนวโน้มว่าจะถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นเวลานาน โดยที่ไม่ถูกวางหรือทิ้งขว้างไปเมื่อเสร็จงานแล้ว
ปัจจุบันมีบริการพิมพ์การ์ดแต่งงานออนไลน์เองเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคู่รักยุคดิจิตอล ที่ต้องการความสะดวกสบาย คู่รักบางคู่อาจทำการ์ดเองเพื่อประหยัดเงิน แต่บางคู่ก็ทำเพื่อต้องการประหยัดเวลา หรือเพื่อให้สามารถออกแบบและเลือกรูปแบบการ์ดเองได้ ขั้นตอนการออกแบบและพิมพ์การ์ดของเรานั้นง่ายมาก เพียงแค่เลือกดูดีไซน์การออกแบบการ์ดออนไลน์เพื่อหาไอเดียและรูปแบบที่ต้องการ แล้วกำหนดงบที่ใช้ เริ่มคิดว่าจะใส่ข้อความสื่อสารลงไปในลักษณะใดและจินตนาการคิดหาถ้อยคำต่าง ๆ ที่ต้องการใช้บนการ์ด ลองสั่งพิมพ์ และลองสั่งพิมพ์อีกสักนิดเพื่อความชัวร์ และเลือกดีไซน์การออกแบบการ์ดแต่งงานที่คุณชอบที่สุด ถ้าหากคุณจ้างนักออกแบบมาออกแบบการ์ดให้คุณ เราแนะนำให้คุณทำตามวิธีที่กล่าวไป หลังจากที่ออกแบบการ์ดแต่งงานเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการพิมพ์การ์ดแต่งงานอย่างไร บนกระดาษแบบไหน และเลือกชนิดการเคลือบกระดาษ
ไม่ว่าคุณจะส่งการ์ดเชิญไปให้แขก 100 หรือ 5000 คน สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการออกแบบและพิมพ์การ์ดแต่งงานที่ทำให้คนอยากเก็บการ์ดเอาไว้ การ์ดแต่งงานเป็นที่เก็บรวบรวมความทรงจำในช่วงการจัดงานแต่งงานของคุณ เพียงแค่มองการ์ดของคุณ ก็จะทำให้ผู้ร่วมงานหรือผู้ที่ได้รับเชิญนึกถึงความทรงจำสุดพิเศษในวันงานแต่งงานของคุณ ประเด็นสำคัญคือคุณต้องพิมพ์การ์ดแต่งงานที่มีดีไซน์การออกแบบที่สวยและมีคุณภาพดี ดูมีคุณค่า เพื่อให้คนอยากเก็บเอาไว้ ไม่ว่าคุณต้องการดีไซน์ที่หรูหรา ร่วมสมัย วินเทจ หรือเก๋ๆ คุณสามารถพิมพ์การ์ดแต่งงานคุณภาพดีกับ Grace Greeting ได้ทุกแบบ โดยเราใช้เฉพาะเครื่องมือการพิมพ์ที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับการ์ดแต่งงานที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ในกรณีที่คุณต้องการผลิตภัณฑ์สิ่งพิมพ์อย่างเร่งด่วน Grace Greeting ก็มีบริการส่งสิ่งพิมพ์ภายใน 48 ชั่วโมงหลังการสั่งซื้อ ถ้าหากคุณได้ทำการสั่งซื้อ ชำระเงิน และส่งอาร์ตเวิร์คก่อนเวลาบ่ายโมงตรง
นอกจากนี้ เรารู้ว่าสิ่งที่คุณต้องการคือการ์ดแต่งงานที่สวยและราคาไม่แพง พิมพ์ได้ตรงตามที่คุณคิดไว้ และนี่คือเหตุผลที่ Grace Greeting ให้คุณเลือกตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ขนาด น้ำหนักกระดาษ ประเภทกระดาษ ไปจนถึงการเคลือบ โดยเรานำเสนอการ์ดแต่งงานราคาถูก คุณภาพดี คุณสามารถติดต่อเราได้หากต้องการงานพิมพ์ที่พิเศษมากขึ้นหรือรวดเร็วขึ้น ทีมงานของเราพร้อมให้บริการด้วยใจ คุณสามารถสั่งซื้อและชำระเงินค่าสิ่งพิมพ์ออนไลน์ จากนั้นงานพิมพ์จะถูกจัดส่งถึงบ้านคุณ เรามีบทความน่าสนใจที่คุณควรเข้าไปอ่าน การปิดอาร์ตเวิร์คเพื่อความมั่นใจว่าการ์ดแต่งงานของคุณจะออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
และนอกเหนือจากการ์ดแต่งงานแล้ว เรายังรับพิมพ์การ์ดงานบวชอีกด้วย คุณไม่จำเป็นต้องเดินหาร้านการ์ดแต่งงาน หรือร้านการ์ดงานบวชอีกต่อไป เพราะ Grace Greeting รับทำการ์ดแต่งงานและการ์ดงานบวช คุณภาพดี ราคาถูก โดยเราไม่ใช่ร้านการ์ดแต่งงานธรรมดา แต่เป็นร้านการ์ดแต่งงานออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกให้กับคุณถึงขีดสุด คุณสามารถสั่งทำการ์ดแต่งงานและการ์ดงานบวชกับเราได้ผ่านทางเว็บไซต์ ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วคลิก
การเคลือบกระดาษแบบต่าง ๆ
การเคลือบเงา:
มีฟิล์มลามิเนตเคลือบบนการ์ดเพื่อปกป้องการ์ดของคุณจากน้ำ การขูดขีด และการชำรุดของขอบ การเคลือบมันช่วยเพิ่มความสวยงามและคุณภาพให้กับการ์ดของคุณ ทั้งยังสะท้อนแสงและช่วยให้การ์ดของคุณดูสดใสมากยิ่งขึ้น
การเคลือบด้าน:
มีฟิล์มลามิเนตเคลือบบนการ์ดเพื่อป้องกันการ์ดของคุณจากน้ำ การขูดขีด และการชำรุดของขอบ การเคลือบด้านช่วยเพิ่มความสวยงามและคุณภาพให้กับการ์ดของคุณ มีคุณสมบัติไม่สะท้อนแสง ช่วยให้การ์ดดูดีมีระดับและสัมผัสเรียบลื่น
การเคลือบยูวี:
การเคลือบ UV โดยการ์ดของคุณจะถูกคลุมด้วยสารเคมีและฉายแสงยูวีทำให้การ์ดดูเงางาม การเคลือบ UV ช่วยเพิ่มสัมผัสที่พรีเมียม ช่วยให้การ์ดของคุณดูสวยงาม และช่วยปกป้องการ์ดของคุณอีกด้วย
กระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์ มีอยู่หลายชนิด ที่นิยมใช้โดยทั่วไป ได้แก่
กระดาษอาร์ต
กระดาษชนิดนี้เนื้อจะแน่น ผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี่สี เช่น โปสเตอร์ โบรชัวร์ ปกวารสาร ฯลฯ กระดาษชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง คุณภาพกระดาษก็แตกต่างกันไปแล้วแต่มาตรฐานของผู้ผลิตด้วย มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่
- กระดาษอาร์ตมัน เนื้อกระดาษเรียบ เป็นมันเงา พิมพ์งานได้ใกล้เคียงกับสีจริง สามารถเคลือบเงาได้ดี ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม, 130 แกรม และ160 แกรม
- กระดาษอาร์ตด้าน เนื้อกระดาษเรียบ แต่เนื้อไม่มัน พิมพ์งานสีจะซีดลงเล็กน้อย แต่ดูหรู ความหนาของกระดาษมีดังนี้ คือ 85 แกรม,100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม , 130 แกรม,160 แกรม
- กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่หนาตั้งแต่ 190 แกรม, 210 แกรม, 230 แกรม, 260 แกรม 310 แกรม เหมาะสำหรับพิมพ์งานโปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ หรืองานต่างๆ ที่ต้องการความหนา
- กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่มีความแกร่งกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานที่ต้องการพิมพ์แค่หน้าเดียว เช่น กล่องบรรจุสินค้าต่างๆ โปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ เป็นต้น
กระดาษปอนด์
เป็นกระดาษเนื้อเรียบสีขาว นิยมใช้พิมพ์งานสีเดียว หรือพิมพ์สี่สีก็ได้แต่ไม่มันเงาเท่ากระดาษอาร์ต สามารถเขียนได้ง่ายกว่าทั้งปากกาและดินสอ เหมาะสำหรับพิมพ์เนื้อในหนังสือ กระดาษหัวจดหมาย ฯลฯ ความหนากระดาษที่นิยมใช้พิมพ์หนังสืออยู่ที่ 55 แกรม, 60 แกรม, 70 แกรม, 80 แกรม, 100 แกรม, 120 แกรม
กระดาษปรู๊ฟ
กระดาษปรู๊ฟ มีเนื้อกระดาษหยาบ สีน้ำตาล หรือขาวหม่น ฉีกขาดง่าย ราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับพิมพ์งานจำนวนมากๆ เช่น หนังสือพิมพ์ และบิลต่างๆ
กระดาษแบงค์
กระดาษแบงค์เป็นกระดาษบางๆ มักจะมีสี เช่น สีชมพู สีฟ้า สีเขียว และสีเหลือง นิยมใช้พิมพ์บิลต่างๆ หรือใบปลิว ความหนาประมาณ 55 แกรม, 70 แกรม, 80 แกรม
กระดาษแอร์เมล์
เนื้อกระดาษบางประมาณ 38 แกรม สำหรับพิมพ์บิล
ความหนาของกระดาษ
การวัดความหนาของกระดาษทำได้ยาก เพราะกระดาษแต่ละแผ่นบางมาก ดังนั้นแทนที่จะวัดจากความหนาโดยตรง ก็ใช้วิธีชั่งน้ำหนักของกระดาษแทน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า กระดาษหนาย่อมมีน้ำหนักมากกว่ากระดาษบาง โดยพิจารณาจากน้ำหนักของกระดาษขนาด 1 ตารางเมตร ในหน่วยวัดเป็น แกรม (gsm: gram per square-meter) กระดาษชนิดเดียวกัน 120 แกรมจึงหนากว่ากระดาษ 80 แกรม
ควรเลือกใช้กระดาษกี่แกรมจึงเหมาะสม
การเลือกความหนาของกระดาษต้องพิจารณาตามงานที่เอาไปใช้ เช่นถ้าใช้ทำปกก็ต้องใช้กระดาษหนา แต่ถ้าเป็นใบเสร็จมีหลายชั้นเมื่อเขียนแล้วต้องการให้ทะลุถึงชั้นล่าง อย่างนี้กระดาษก็ต้องบาง ตัวอย่างที่นิยมใช้ ได้แก่
- ใบเสร็จ และสิ่งพิมพ์ที่ต้องมีสำเนา นิยมใช้กระดาษประมาณ 40-50 แกรม
- กระดาษหัวจดหมาย หน้าเนื้อในของหนังสือ นิตยสาร เนื้อในของสมุด นิยมใช้กระดาษประมาณ 70-80 แกรม
- โบรชัวร์สี่สี หน้าสี่สีของนิตยสาร โปสเตอร์ นิยมใช้กระดาษประมาณ 120 – 160 แกรม
- ปกหนังสือ นิตยสาร สมุด แฟ้มนำเสนองาน กล่องสินค้า นิยมใช้กระดาษประมาณ 300 แกรมขึ้นไป
ขนาดของกระดาษ
การออกแบบงานโดยไม่ทราบขนาดกระดาษนั้น ทำให้ต้นทุนในการพิมพ์งานนั้นสูงขึ้น เพราะว่ากระดาษจะไม่สามารถตัดให้ลงตัวได้ และจะเป็นเศษทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ขนาดของกระดาษในที่นี้หมายถึง กระดาษแผ่นใหญ่ ที่ตัดมาจากม้วนแล้วซึ่งมีขนาดต่างๆ ดังนี้
– กระดาษปอนด์ อาร์ตมัน อาร์ตด้าน ปรู๊ฟ โดยทั่วไปมีอยู่ 3 ขนาดคือ
- 24 นิ้ว x 35 นิ้ว
- 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
– กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า อาร์ตการ์ด 1 หน้า โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ
- 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
– กระดาษกล่องแป้ง (หลังขาว หลังเทา) โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
- 35 นิ้ว x 43 นิ้ว
– กระดาษเคมี (ก็อปปี้ในตัว) ที่นิยมมีอยู่ 1 ขนาดคือ
- 24 X 36 นิ้ว
– กระดาษแบงค์สี โดยทั่วไปมีอยู่ขนาดเดียวคือ
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว