ทำไมถึงต้องใช้ถุงกระดาษ?
เป็นที่ทราบกันดีว่ากระดาษมีหลายชนิด ที่ผลิตมาจากเยื่อกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกันตามความเหนียว ความคงทน ความทนทานต่อการฉีกขาด ดึงขาด ดันทะลุ สามารถตัด ดัด พับ งอ ได้ง่าย สามารถออกแบบได้หลากหลาย เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีราคาถูกที่สุดและยังมีน้ำหนักเบา สามารถ พิมพ์ลวดลายลงไปได้งดงาม และสามารถใช้หมุนเวียน (Recycle) ได้จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหามลภาวะ กระดาษสามารถทำเป็นหีบห่อได้มากมาย ตั้งแต่ถุงชนิดต่าง ๆ กล่องกระดาษ ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีความเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกันออกไป ดังนั้นคุณสมบัติของกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้ธรรมดาจึงได้รับการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น โดยการผนึกหรือเคลือบเข้ากับวัสดุอื่น ๆ เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์เป็นโครงสร้างใหม่ของบรรจุภัณฑ์ และทำหน้าที่บรรจุห่อหุ้มผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายประเภทมากขึ้น เช่น กระดาษเคลือบฟิล์มพลาสติก (Plastic Coated Paper) กระดาษเคลือบขี้ผึ้ง (Wax Laminated Paper) กระดาษทนน้ำมัน (Greaseproof Paper) เป็นต้น
ในส่วนของถุงกระดาษนั้น ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะใช้เพื่อเป็นบรรจุภัณฑ์แล้ว ยังมีการนำมาพิมพ์ลวดลายหรือตกแต่งให้สวยงาม อีกทั้งมีการพิมพ์ชื่อแบรนด์ หรือตราสินค้าลงไป เพื่อเป็นการโฆษณาได้อีกด้วย ถุงกระดาษที่ได้รับการออกแบบและจัดทำมาเป็นอย่างดี มีคุณภาพ แน่นอนว่าผู้ที่ใช้งานจะต้องเก็บเอาไว้เพื่อนำมาใช้ต่ออีกเรื่อย ๆ ทำให้ถุงกระดาษของคุณสามารถอยู่ได้นานมากขึ้นไปอีก เพิ่มโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นถุงกระดาษของคุณได้มากขึ้น ไม่ถูกทิ้งเป็นขยะภายหลังที่ใช้งานเสร็จสิ้น
ปัจจุบันมีบริการพิมพ์และผลิตถุงกระดาษออนไลน์เองเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคดิจิตอล ที่ต้องการความสะดวกสบาย สามารถออกแบบและเลือกรูปแบบ ลวดลายของถุงกระดาษเองได้ ไม่ว่าคุณจะใช้ถุงกระดาษเพื่อบรรจุของขวัญแทนกล่องของขวัญ หรือจะเป็นถุงกระดาษของแบรนด์คุณเอง คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการพิมพ์อะไรลงบนถุงกระดาษบ้างใช้กระดาษแบบไหน และเลือกชนิดการเคลือบกระดาษแบบต่าง ๆ ได้ คุณสามารถเลือกสั่งพิมพ์และผลิตถุงกระดาษคุณภาพดีกับ Grace Greeting ได้ทุกแบบ โดยเราใช้เฉพาะเครื่องมือการพิมพ์ที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับถุงกระดาษที่ดีและตรงกับความต้องการมากที่สุด ด้วยการสั่งง่าย ๆ แค่เพียงปลายนิ้วคลิก
กระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์ มีอยู่หลายชนิด ที่นิยมใช้โดยทั่วไป ได้แก่
กระดาษอาร์ต
กระดาษชนิดนี้เนื้อจะแน่น ผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี่สี เช่น โปสเตอร์ โบรชัวร์ ปกวารสาร ฯลฯ กระดาษชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง คุณภาพกระดาษก็แตกต่างกันไปแล้วแต่มาตรฐานของผู้ผลิตด้วย มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่
- กระดาษอาร์ตมัน เนื้อกระดาษเรียบ เป็นมันเงา พิมพ์งานได้ใกล้เคียงกับสีจริง สามารถเคลือบเงาได้ดี ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม, 130 แกรม และ160 แกรม
- กระดาษอาร์ตด้าน เนื้อกระดาษเรียบ แต่เนื้อไม่มัน พิมพ์งานสีจะซีดลงเล็กน้อย แต่ดูหรู ความหนาของกระดาษมีดังนี้ คือ 85 แกรม,100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม , 130 แกรม,160 แกรม
- กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่หนาตั้งแต่ 190 แกรม, 210 แกรม, 230 แกรม, 260 แกรม 310 แกรม เหมาะสำหรับพิมพ์งานโปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ หรืองานต่างๆ ที่ต้องการความหนา
- กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่มีความแกร่งกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานที่ต้องการพิมพ์แค่หน้าเดียว เช่น กล่องบรรจุสินค้าต่างๆ โปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ เป็นต้น
กระดาษปอนด์
เป็นกระดาษเนื้อเรียบสีขาว นิยมใช้พิมพ์งานสีเดียว หรือพิมพ์สี่สีก็ได้แต่ไม่มันเงาเท่ากระดาษอาร์ต สามารถเขียนได้ง่ายกว่าทั้งปากกาและดินสอ เหมาะสำหรับพิมพ์เนื้อในหนังสือ กระดาษหัวจดหมาย ฯลฯ ความหนากระดาษที่นิยมใช้พิมพ์หนังสืออยู่ที่ 55 แกรม, 60 แกรม, 70 แกรม, 80 แกรม, 100 แกรม, 120 แกรม
กระดาษปรู๊ฟ
กระดาษปรู๊ฟ มีเนื้อกระดาษหยาบ สีน้ำตาล หรือขาวหม่น ฉีกขาดง่าย ราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับพิมพ์งานจำนวนมากๆ เช่น หนังสือพิมพ์ และบิลต่างๆ
กระดาษแบงค์
กระดาษแบงค์เป็นกระดาษบางๆ มักจะมีสี เช่น สีชมพู สีฟ้า สีเขียว และสีเหลือง นิยมใช้พิมพ์บิลต่างๆ หรือใบปลิว ความหนาประมาณ 55 แกรม, 70 แกรม, 80 แกรม
กระดาษแอร์เมล์
เนื้อกระดาษบางประมาณ 38 แกรม สำหรับพิมพ์บิล
ความหนาของกระดาษ
การวัดความหนาของกระดาษทำได้ยาก เพราะกระดาษแต่ละแผ่นบางมาก ดังนั้นแทนที่จะวัดจากความหนาโดยตรง ก็ใช้วิธีชั่งน้ำหนักของกระดาษแทน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า กระดาษหนาย่อมมีน้ำหนักมากกว่ากระดาษบาง โดยพิจารณาจากน้ำหนักของกระดาษขนาด 1 ตารางเมตร ในหน่วยวัดเป็น แกรม (gsm: gram per square-meter) กระดาษชนิดเดียวกัน 120 แกรมจึงหนากว่ากระดาษ 80 แกรม
ควรเลือกใช้กระดาษกี่แกรมจึงเหมาะสม
การเลือกความหนาของกระดาษต้องพิจารณาตามงานที่เอาไปใช้ เช่นถ้าใช้ทำปกก็ต้องใช้กระดาษหนา แต่ถ้าเป็นใบเสร็จมีหลายชั้นเมื่อเขียนแล้วต้องการให้ทะลุถึงชั้นล่าง อย่างนี้กระดาษก็ต้องบาง ตัวอย่างที่นิยมใช้ ได้แก่
- ใบเสร็จ และสิ่งพิมพ์ที่ต้องมีสำเนา นิยมใช้กระดาษประมาณ 40-50 แกรม
- กระดาษหัวจดหมาย หน้าเนื้อในของหนังสือ นิตยสาร เนื้อในของสมุด นิยมใช้กระดาษประมาณ 70-80 แกรม
- โบรชัวร์สี่สี หน้าสี่สีของนิตยสาร โปสเตอร์ นิยมใช้กระดาษประมาณ 120 – 160 แกรม
- ปกหนังสือ นิตยสาร สมุด แฟ้มนำเสนองาน กล่องสินค้า นิยมใช้กระดาษประมาณ 300 แกรมขึ้นไป
ขนาดของกระดาษ
การออกแบบงานโดยไม่ทราบขนาดกระดาษนั้น ทำให้ต้นทุนในการพิมพ์งานนั้นสูงขึ้น เพราะว่ากระดาษจะไม่สามารถตัดให้ลงตัวได้ และจะเป็นเศษทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ขนาดของกระดาษในที่นี้หมายถึง กระดาษแผ่นใหญ่ ที่ตัดมาจากม้วนแล้วซึ่งมีขนาดต่างๆ ดังนี้
– กระดาษปอนด์ อาร์ตมัน อาร์ตด้าน ปรู๊ฟ โดยทั่วไปมีอยู่ 3 ขนาดคือ
- 24 นิ้ว x 35 นิ้ว
- 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
– กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า อาร์ตการ์ด 1 หน้า โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ
- 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
– กระดาษกล่องแป้ง (หลังขาว หลังเทา) โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
- 35 นิ้ว x 43 นิ้ว
– กระดาษเคมี (ก็อปปี้ในตัว) ที่นิยมมีอยู่ 1 ขนาดคือ
- 24 X 36 นิ้ว
– กระดาษแบงค์สี โดยทั่วไปมีอยู่ขนาดเดียวคือ
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว