การ์ดป็อปอัพ (Pop-up Card)

ทำไมถึงต้องเป็นการ์ด Pop-up?

Pop-up คืออะไร?  Pop-up ก็คือเทคนิคการตัดและพับที่ใช้ในการตกแต่งการ์ด หรือ หนังสือนิทานต่าง ๆ ที่ทำให้เมื่อเปิดหน้านั้นออกมา เราจะสามารถเห็นเป็นรูปทรงต่าง ๆ เด้งขึ้นมาได้ โดยสามารถเห็นรูปทรงนั้นๆ ได้ตั้งแต่สองมิติ หรือสามมิติ หรือรอบทิศทาง แต่สิ่งที่ทำให้ Pop-up มีเสน่ห์อันน่ามหัศจรรย์ก็คือ ทันทีที่เราปิดหน้านั้นลง หน้า Pop-up นั้นก็จะกลับมาราบเรียบเป็นการ์ดหรือหนังสือธรรมดา ๆ เหมือนเดิม เทคนิค Pop-up แบบนี้ เราสามารถนำมาใช้กับการ์ดเนื่องในโอกาสต่าง ๆ ได้แทบทุกชนิด โดยส่วนใหญ่มักจะใช้กับการ์ดที่สื่อถึงความสุข หรือวาระพิเศษดี ๆ เพราะการ์ดแบบ Pop-up จะทำให้ผู้ที่ได้รับ รู้สึกประหลาดใจ ตื่นเต้น สนุกสนานไปกับลูกเล่นของการ์ด  เช่น การ์ดแต่งงาน การ์ดปีใหม่ การ์ดวาเลนไทน์ การ์ดวันเกิด เป็นต้น

ปัจจุบันมีบริการพิมพ์การ์ด Pop-up ออนไลน์เองเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคดิจิตอล ที่ต้องการความสะดวกสบาย สามารถออกแบบและเลือกรูปแบบการ์ดเองได้  ขั้นตอนการออกแบบและพิมพ์การ์ดของเรานั้นง่ายมาก เพียงแค่เลือกดูดีไซน์การออกแบบการ์ดออนไลน์เพื่อหาไอเดียและรูปแบบที่ต้องการ  แล้วกำหนดงบที่ใช้  เริ่มคิดว่าจะใส่ข้อความสื่อสารลงไปในลักษณะใดและจินตนาการคิดหาถ้อยคำต่าง ๆ ที่ต้องการใช้บนการ์ด อยากให้การ์ด Pop-up ขึ้นมาเป็นรูปอะไร ลักษณะไหน เลือกดีไซน์การออกแบบการ์ด Pop-up ที่คุณชอบที่สุด

ถ้าหากคุณจ้างนักออกแบบมาออกแบบการ์ดให้คุณ เราแนะนำให้คุณทำตามวิธีที่กล่าวไป  หลังจากที่ออกแบบการ์ด Pop-up เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการพิมพ์การ์ดอย่างไร บนกระดาษแบบไหน และเลือกชนิดการเคลือบกระดาษแบบต่าง ๆ ได้ คุณสามารถพิมพ์การ์ด Pop-up คุณภาพดีกับ Grace Greeting  ได้ทุกแบบ โดยเราใช้เฉพาะเครื่องมือการพิมพ์ที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลสำคัญของคุณจะได้รับการ์ด Pop-up ที่พิเศษที่สุด  นอกจากนี้ ในกรณีที่คุณต้องการผลิตภัณฑ์สิ่งพิมพ์อย่างเร่งด่วน Grace Greeting ก็มีบริการส่งสิ่งพิมพ์ภายใน 48 ชั่วโมงหลังการสั่งซื้อ  ถ้าหากคุณได้ทำการสั่งซื้อ ชำระเงิน และส่งอาร์ตเวิร์คก่อนเวลาบ่ายโมงตรง คุณสามารถสั่งทำการ์ด Pop-up กับเราได้ผ่านทางเว็บไซต์ ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วคลิก

การเคลือบกระดาษแบบต่าง ๆ

การเคลือบเงา:

มีฟิล์มลามิเนตเคลือบบนการ์ดเพื่อปกป้องการ์ดของคุณจากน้ำ การขูดขีด และการชำรุดของขอบ การเคลือบมันช่วยเพิ่มความสวยงามและคุณภาพให้กับการ์ดของคุณ ทั้งยังสะท้อนแสงและช่วยให้การ์ดของคุณดูสดใสมากยิ่งขึ้น

การเคลือบด้าน:

มีฟิล์มลามิเนตเคลือบบนการ์ดเพื่อป้องกันการ์ดของคุณจากน้ำ การขูดขีด และการชำรุดของขอบ การเคลือบด้านช่วยเพิ่มความสวยงามและคุณภาพให้กับการ์ดของคุณ มีคุณสมบัติไม่สะท้อนแสง ช่วยให้การ์ดดูดีมีระดับและสัมผัสเรียบลื่น

การเคลือบยูวี:

การเคลือบ UV โดยการ์ดของคุณจะถูกคลุมด้วยสารเคมีและฉายแสงยูวีทำให้การ์ดดูเงางาม การเคลือบ UV ช่วยเพิ่มสัมผัสที่พรีเมียม ช่วยให้การ์ดของคุณดูสวยงาม และช่วยปกป้องการ์ดของคุณอีกด้วย

กระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์มีอยู่หลายชนิด ที่นิยมใช้โดยทั่วไป ได้แก่

กระดาษอาร์ต

กระดาษชนิดนี้เนื้อจะแน่น ผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี่สี เช่น โปสเตอร์ โบรชัวร์ ปกวารสาร ฯลฯ กระดาษชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง คุณภาพกระดาษก็แตกต่างกันไปแล้วแต่มาตรฐานของผู้ผลิตด้วย มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่

  • กระดาษอาร์ตมัน เนื้อกระดาษเรียบ เป็นมันเงา พิมพ์งานได้ใกล้เคียงกับสีจริง สามารถเคลือบเงาได้ดี ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม, 130 แกรม และ160 แกรม
  • กระดาษอาร์ตด้าน เนื้อกระดาษเรียบ แต่เนื้อไม่มัน พิมพ์งานสีจะซีดลงเล็กน้อย แต่ดูหรู ความหนาของกระดาษมีดังนี้ คือ 85 แกรม,100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม , 130 แกรม,160 แกรม
  • กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่หนาตั้งแต่ 190 แกรม, 210 แกรม, 230 แกรม, 260 แกรม 310 แกรม เหมาะสำหรับพิมพ์งานโปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ หรืองานต่างๆ ที่ต้องการความหนา
  • กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า เป็นกระดาษอาร์ตที่มีความแกร่งกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานที่ต้องการพิมพ์แค่หน้าเดียว เช่น กล่องบรรจุสินค้าต่างๆ โปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ เป็นต้น

กระดาษปอนด์

เป็นกระดาษเนื้อเรียบสีขาว นิยมใช้พิมพ์งานสีเดียว หรือพิมพ์สี่สีก็ได้แต่ไม่มันเงาเท่ากระดาษอาร์ต สามารถเขียนได้ง่ายกว่าทั้งปากกาและดินสอ เหมาะสำหรับพิมพ์เนื้อในหนังสือ กระดาษหัวจดหมาย ฯลฯ ความหนากระดาษที่นิยมใช้พิมพ์หนังสืออยู่ที่ 55 แกรม, 60 แกรม, 70 แกรม, 80 แกรม, 100 แกรม, 120 แกรม

กระดาษปรู๊ฟ

กระดาษปรู๊ฟ มีเนื้อกระดาษหยาบ สีน้ำตาล หรือขาวหม่น ฉีกขาดง่าย ราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับพิมพ์งานจำนวนมากๆ เช่น หนังสือพิมพ์ และบิลต่างๆ

กระดาษแบงค์

กระดาษแบงค์เป็นกระดาษบางๆ มักจะมีสี เช่น สีชมพู สีฟ้า สีเขียว และสีเหลือง นิยมใช้พิมพ์บิลต่างๆ หรือใบปลิว ความหนาประมาณ 55 แกรม, 70 แกรม, 80 แกรม

กระดาษแอร์เมล์

เนื้อกระดาษบางประมาณ 38 แกรม สำหรับพิมพ์บิล

ความหนาของกระดาษ

การวัดความหนาของกระดาษทำได้ยาก เพราะกระดาษแต่ละแผ่นบางมาก ดังนั้นแทนที่จะวัดจากความหนาโดยตรง ก็ใช้วิธีชั่งน้ำหนักของกระดาษแทน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า กระดาษหนาย่อมมีน้ำหนักมากกว่ากระดาษบาง โดยพิจารณาจากน้ำหนักของกระดาษขนาด 1 ตารางเมตร ในหน่วยวัดเป็น แกรม (gsm: gram per square-meter) กระดาษชนิดเดียวกัน 120 แกรมจึงหนากว่ากระดาษ 80 แกรม

ควรเลือกใช้กระดาษกี่แกรมจึงเหมาะสม

การเลือกความหนาของกระดาษต้องพิจารณาตามงานที่เอาไปใช้ เช่นถ้าใช้ทำปกก็ต้องใช้กระดาษหนา แต่ถ้าเป็นใบเสร็จมีหลายชั้นเมื่อเขียนแล้วต้องการให้ทะลุถึงชั้นล่าง อย่างนี้กระดาษก็ต้องบาง ตัวอย่างที่นิยมใช้ ได้แก่

  • ใบเสร็จ และสิ่งพิมพ์ที่ต้องมีสำเนา นิยมใช้กระดาษประมาณ 40-50 แกรม
  • กระดาษหัวจดหมาย หน้าเนื้อในของหนังสือ นิตยสาร เนื้อในของสมุด นิยมใช้กระดาษประมาณ 70-80 แกรม
  • โบรชัวร์สี่สี หน้าสี่สีของนิตยสาร โปสเตอร์ นิยมใช้กระดาษประมาณ 120 – 160 แกรม
  • ปกหนังสือ นิตยสาร สมุด แฟ้มนำเสนองาน กล่องสินค้า นิยมใช้กระดาษประมาณ 300 แกรมขึ้นไป

ขนาดของกระดาษ

การออกแบบงานโดยไม่ทราบขนาดกระดาษนั้น ทำให้ต้นทุนในการพิมพ์งานนั้นสูงขึ้น เพราะว่ากระดาษจะไม่สามารถตัดให้ลงตัวได้ และจะเป็นเศษทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ขนาดของกระดาษในที่นี้หมายถึง กระดาษแผ่นใหญ่ ที่ตัดมาจากม้วนแล้วซึ่งมีขนาดต่างๆ ดังนี้

– กระดาษปอนด์ อาร์ตมัน อาร์ตด้าน ปรู๊ฟ โดยทั่วไปมีอยู่ 3 ขนาดคือ

  • 24 นิ้ว x 35 นิ้ว
  • 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
  • 31 นิ้ว x 43 นิ้ว

– กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า อาร์ตการ์ด 1 หน้า โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ

  • 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
  • 31 นิ้ว x 43 นิ้ว

– กระดาษกล่องแป้ง (หลังขาว หลังเทา) โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ

  • 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
  • 35 นิ้ว x 43 นิ้ว

– กระดาษเคมี (ก็อปปี้ในตัว) ที่นิยมมีอยู่ 1 ขนาดคือ

  • 24 X 36 นิ้ว

– กระดาษแบงค์สี โดยทั่วไปมีอยู่ขนาดเดียวคือ

  • 31 นิ้ว x 43 นิ้ว